ทัวร์อินเดีย สังเวชนียสถาน 4 ตำบล + อชันต้า เอลโลร่า มุมไบ 17-29 ตุลาคม. 2566
ทัวร์สังเวชนียสถาน 4 ตำบล + อชันต้า เอลโลร่า มุมไบ
Exclusive !! กราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุจากไวสาลี !!
17-29 ตุลาคม 2566 (13วัน 12คืน)*
บินภายใน 3 รอบ ถนอมร่างกาย (ไม่พาสว.นั่งรถไฟนะ)
โซนสังเวชนียสถานพักโรงแรมระดับดีมากเท่าที่จะหาได้ในเมือง
โซนมุมไบพักกลางเมืองเดินช้อปปิ้งกันสบายๆ
ร้านอาหารไม่กินแต่ในโรงแรม พากินร้านดังกลางเมืองมุมไบ
* รอบนี้บินต่อจากทัวร์สังเวชนียสถานรอบเต็ม 17-24ตค.ค่ะทุกคน
สังเวชนียสถาน 17-24 ตค. = สังเวชนียสถานรอบเต็ม + กลับกรุงเทพ หากไม่สะดวกไปต่อก็กลับกทม.ก่อนได้ค่า
สังเวชนียสถาน 17-29 ตค. = สังเวชนียสถานรอบเต็ม+บินมาเที่ยวต่อมุมไบค่ะ ทำโปรแกรมแยกไว้สำหรับท่านที่อยากไปครบๆ
1. สถานที่เยี่ยมชม : สังเวชนียสถาน 4 ตำบล+อชันต้า เอลโลร่า มุมไบ
- สังเวชนียสถานแห่งที่ 1 สถานที่ตรัสรู้ : พุทธคยา
- สังเวชนียสถานแห่งที่ 2 สถานที่แสดงปฐมเทศนา : สารนาถ
- สังเวชนียสถานแห่งที่ 3 สถานที่ประสูติ : ลุมพินี
- สังเวชนียสถานแห่งที่ 4 สถานที่ปรินิพพาน : กุสินารา
- ราชคฤห์ เมืองแรกที่พุทธศาสนาตั้งมั่น สถานที่ตั้งวัดแห่งแรกในพุทธศาสนา วันเวฬุวันมหาวิหาร
- นาลันทา สถานที่ตั้งอดีตมหาวิทยาลัยนาลันทาที่เคยยิ่งใหญ่ เชื่อกันว่าเป็นบ้านเกิดของพระสารีบุตรและกราบสักการะหลวงพ่อองค์ดำ
- สาวัตถี เมืองหลวงของแคว้นโกศล ที่ตั้งวัดเชตวันมหาวิหาร สถานที่ประทับนานที่สุด 25 พรรษา สถานที่เกิดพระสูตรมากมาย
- มุมไบ เมืองหลวงแห่งรัฐมหารัฐษฏะ เจริญมาก เราไปพักโซนกลางเมือง เดินเล่นได้สบายๆค่ะ
- ออรังกบาด สถานที่ตั้ง 2 ถ้ำ อชันต้าและเอลโลร่า
สถานที่ตามโปรแกรมสรุป (โปรแกรมเต็มดูด้านล่างค่ะ)
17 ตค. 66 : กรุงเทพ - ปัตนะ - ไวสาลี (เสาอโศกต้นสมบูรณ์ที่สุด, สถานที่เกิดภิกษุณี) - กุสินารา (สถานที่ปรินิพพาน)
18 ตค.. 66 : กุสินารา - ลุมพินี (สถานที่ประสูติ)
19 ตค. 66 : ลุมพินี - สาวัตถี
20 ตค. 66 : สาวัตถี - พาราณสี (วันนี้ วันเดียวค่ะที่นั่งรถไกลสุด 8ชม.+)
21 ตค. 66 : พาราณสี สถานที่แสดงปฐมเทศนา - พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้
22 ตค. 66 : พุทธคยา เต็มวัน
23 ตค. 66 : พุทธคยา - ราชคฤห์ - นาลันทา - ปัตนะ
24 ตค. 66 : ปัตนะ (สักการะพระบรมสารีริกธาตุ) - บินภายในต่อไปมุมไบ
25 ตค. 66 : มุมไบเต็มวัน วัดพระพิฆเนศเช้า บ่ายช้อปปิ้ง
26 ตค. 66: เดินทางไปออรังกบาด
27 ตค. 66 : ถ้ำอชันต้าเต็มวัน
28 ตค. 66 : ถ้ำเอลโลร่า + mini ทัชมาฮาล +เดินเล่นในเมืองออรังกบาด
29 ตค. 66 : เดินทางกลับไทย ออกไปสนามบินเช้า ต่อเครื่องประมาณ 4 ชม.ที่เดลี ถึงกรุงเทพค่ำๆค่ะ
2. การเดินทาง
เนื่องจากเราเดินทางกันข้ามรัฐสุดๆจากตะวันออกเฉียงเหนือไปตะวันตกเฉียงใต้ ไฟลท์ภายในจึงเยอะนิดนึงแต่รับรองว่าคุ้มค่าการเดินทางแน่นอนค่ะ
สายการบิน : Indigo บินภายในต่อเครื่อง 3 ชม.
2.1 ขาไป
กรุงเทพ - โกลกาต้า : Indigo ไฟลท์ 6e77 02.40-03.45 ต่อเครื่อง 3 ชม.นิดๆ
โกลกาต้า - ปัตนะ : Indigo ไฟลท์ 6e6324 07.20-08.35
2.2 ปัตนะ - มุมไบ : Air India ไฟลท์ AI 732 13:55-17:20
2.3 ขากลับ
ออรังกบาด - เดลี Air India ไฟลท์ AI 444 07.40-09.25 ต่อเครื่อง 4 ชม.
เดลี - กรุงเทพ Air India ไฟลท์ AI 332 13.45-19.20
2.4 ภายในอินเดีย
ใช้รถบัสส่วนตัวตลอดเส้นทาง (ไม่ต้องเปลี่ยนรถ ของอะไรที่ใช้บนรถเช่นหมอน ผ้าห่ม ของฝากที่ยังไม่ได้แพ็คเอาไว้บนรถได้ ไม่ต้องเอาลงทุกวันค่ะ)
หมายเหตุเรื่องสนามบินและสายการบิน
3. ที่พัก : โรงแรม
- พุทธคยา : วัดเนรัญชราวาส สร้างโดยหลวงพ่อถาวร จิตตวโร อดีตรองเจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม ดีกว่าหลายโรงแรมในพุทธคยา อาหารไทยดีมากค่ะ
- กุสินารา : Hotel Om Residency
- ปัตนะ : Patliputra Continental
- ลุมพินี : Hotel Sarashree
- สาวัตถี : Hotel Sravasti Platinum
- พาราณสี : Hotel Pinacle หรือ Hotel Meadows
- ออรังกบาด : Hotel 7 apples
- มุมไบ : Hotel Suba Palace อยู่กลางเมืองมุมไบ ย่านColaba Causeway เดินเล่น ช้อปปิ้งสบายๆค่ะ
โรงแรมที่คัดเลือกมาเป็นโรงแรมที่คุ้นเคยกับการให้บริการนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เข้าใจทั้งวัฒนธรรมการกินของชาวต่างชาติเป็นอย่างดีและมารยาทสากล อาหารเป็นอาหารจีน ไทยและอินเดียผสมผสานกัน รสชาตมาตรฐาน ทานได้แน่นอนค่ะ ที่สำคัญพนักงานถูกเทรนด์เรื่องมารยาทสากลมาแล้วค่ะ
4. อาหาร
เส้นทาง 4 สังเวชนียสถาน : ที่โรงแรมทานอาหารจีน ไทยและอินเดียผสมผสานกัน รสชาตมาตรฐาน ทานได้แน่นอนค่ะ ส่วนอาหารกลางวันเป็นข้าวกล่องแพ็คจากโรงแรมหรือวัดไทยบริเวณใกล้เคียง ที่วัด ทานอาหารไทยค่ะ
เส้นทางมุมไบ อชันต้า เอลโลร่า
มุมไบ : พาไปทานร้านเก่าแก่แถวๆ Colaba Causeway ค่ะ
ออรังกบาด : ทานที่ร้านอาหารแถวๆถ้ำอชันต้าของการท่องเที่ยวอินเดีย และถ้ำเอลโลร่า โรงแรมไกรลาส อยู่ห่างจากถ้ำ 10 ก้าวค่ะ
5. ราคา
67,000- (ไม่มีการเก็บค่าทัวร์จุบจิบเพิ่มหน้างาน)
หลายท่านสงสัยว่าทำไมราคาสูง+ใช้เวลาหลายวัน ฟ้าเลือกทุกอย่างเองค่ะ รถ ที่พัก ไกด์และตารางเข้าแต่ละสถานที่ไม่อัด เดินทางระหว่างวัน ถึงเมืองก็เข้าสถูปไปกราบมีเวลาก็ใช้เวลากันในนั้นนานๆ อุตส่าห์บินมาตั้งไกลเนอะ ไปสังเวชนียสถานฟ้าเชื่อว่าทุกคนตั้งใจไป ในเมื่อตั้งใจ อยากให้ไปทั้งที ไปดีๆให้สมความตั้งใจไปเลย ดีกว่ามานั่งเสียดายเงินค่ะ โรงแรมในโซนอชันต้าทัวร์ส่วนใหญ่จะใช้โรงแรมดีลที่อยู่ใกล้สนามบิน ค่าทัวร์จะถูกหน่อยแต่ไม่มีอะไรให้เดินค่ะ มุมไบรถติดมากถ้าเราพักไกล = มีเวลาเดินเล่นช้อปปิ้งน้อย ทั้งที่มีอะไรน่าดูเยอะในเมือง จึงเลือกพักย่านใจกลางแบบที่ช้อปปิ้ง กินข้าว เข้าพักในละแวกเดียวกันไปเลย ไปทัวร์แต่ได้บรรยากาศเหมือนไปเที่ยวเองค่ะ รับรอง
5.1 ราคารวม
- ค่าตั๋วเครื่องบินไปกลับและบินภายใน ไฟลท์ตามกำหนดการ
- ค่ารถบัสที่ใช้ในการเดินทางในอินเดียทุกเมือง
- ค่าที่พักทุกเมือง // ค่าอาหารทุกมื้อ
- ค่าเข้าชมสถานที่ทุกเมือง (พิพิธภัณฑ์ โบราณสถาน วัดตามเมืองต่างๆ)
- ค่าวีซ่า 2 ประเทศอินเดีย เนปาล
- ค่าประกันการเดินทางวงเงิน1,000,000 บาท กรณีเสียชีวิตระหว่างการเดินทาง (ไม่รวมประกันความเสียหายของสิ่งของและประกันสุขภาพ)
5.2 ราคาไม่รวม
- ค่าทิปเจ้าหน้าที่ทัวร์(คนขับรถ เด็กรถ ไกด์อินเดีย เจ้าหน้าที่ยกกระเป๋าของวัด ท่านละ 1,200 บาท / ทั้งทริป
- ค่าน้ำหนักกระเป่าเดินทางโหลดใต้ท้องเครื่องที่เกินกว่าที่ระบุในกำหนดการ
- ค่าทำพาสปอต ค่าเดินในประเทศไทยในวันเดินทางไปและกลับ
- ค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ เช่น ค่าของฝาก เงินทำบุญ ค่าซิมโทรศัพท์
- ค่าประกันทรัพย์สินเสียหายจากการเดินทาง
โปรแกรมทัวร์เต็ม
วันที่ 0 : 16 ตุลาคม 2566 กรุงเทพ สุวรรณภูมิ - โกลกาต้า
22.00 น. | พบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ ประตู 2 เช็คอินสายการบิน Indigo ไฟลท์ 6e77 |
วันที่ 1 : 17 ตุลาคม 2566 โกลกาต้า - ปัตนะ - กุสินารา
02.40 น. |
ออกเดินทางสู่โกลกาต้า เมืองหลวงแห่งรัฐเบงกอลตะวันออก |
03.45 น. |
ถึงสนามบินโกลกาต้า ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินเอกสารฟ้าจัดการเขียนให้ทั้งหมด นอนพักผ่อนบนเครื่องได้เลยค่ะ |
07.20 น. |
ต่อเครื่องสายการบินเดียวกันไปยังปัตนะ ถึงปัตนะเช้า เข้าทานอาหารเช้าที่โรงแรมแล้วเดินทางต่อไปยังไปเมืองกุสินารา ชื่อเดิมคือกุสาวดี โดยจะเดินทางผ่านสะพานที่ยาวที่สุดในอินเดีย สะพานมหาตมะคานธี เข้าสู่เมืองไวสาลีก่อน ระหว่างทางแวะกราบสักการะ
เสาอโศกนั้นเป็นจุดหมุดหมายสำคัญในการแสดงว่าสถานที่นี้คือสังเวชนียสถาน เสาอโศกสร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ในราชวงศ์เมารยะ ช่วงยุคหลังพระพุทธเจ้าประมาณ 200-300 ปี ท่านเป็นกษัตริย์ที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ในพุทธศาสนาของเรา ในเส้นทางสังเวชนียสถาน เสาอโศกที่ไวสาลีเป็นต้นที่สมบูรณ์ที่สุด แต่เราจะไปเห็นหัวเสา แค่หัวเสาที่สมบูรณ์ที่สารนาถ พาราณสีกันค่ะ หลังจากนั้นเดินทางต่อสู่เมืองเกสรียา แวะชมมหาสถูปเกสรียา สถูปต้นแบบของบุโรพุทโธ ประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบันและเดินทางต่อสู่กุสินารา
ช่วงเย็น เข้าทานอาหารและพักผ่อน ณ โรงแรม Om Residency |
ข้อมูลน่ารู้ตามเส้นทางสังเวชนียสถาน
กุสินาราในสมัยพุทธกาลเป็นเมืองเล็กในแคว้นมัลละ แต่สมัยดั้งเดิมก่อนยุคพุทธกาลเป็นเมืองใหญ่มากชื่อเมืองกุสาวดี ปกครองโดยพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ยิ่งใหญ่มากในช่วงนั้น ของวิเศษใดๆที่หาได้เป็นของพระเจ้ามหาสุทัสสนะหมด ซึ่งพระเจ้ามหาสุทัสสนะก็คือชาติภพก่อนๆของพระพุทธเจ้าและท่านก็กลับมาปรินิพพานที่กุสินาราแห่งนี้
ไวสาลี ชื่อเดิมก็คือไวสาลี ที่แห่งนี้คือต้นกำเนิดระบอบประชาธิปไตยแห่งแรกของโลก ไวสาลีเป็นเมืองหลวงของแคว้นวัชชี พระเจ้าอชาตศัตรูอยากได้วัชชีมานานมาก แต่ด้วยหลักธรรมและหลักการปกครองของเจ้าลิจฉวี (ชื่อของชนชั้นปกครองของวัชชี) จึงทำให้ตีไม่ได้เสียที จนพรรษาสุดท้ายของพระพุทธเจ้า พระเจ้าอชาตศัตรูส่งวัสสการพรามณ์ไปถามความเมือง จริงๆพระพุทธเจ้าไม่ได้แนะแต่ระดับที่ปรึกษากษัตริย์แค่นั่งฟังก็ได้ไอเดียจึงออกอุบายกับพระเจ้าอชาติศัตรูสุดท้าย วัชชีก็ตกเป็นของแคว้นมคธหลังจากพุทธปรินิพพาน
วันที่ 2 : 18 ตุลาคม 2566 : กุสินารา - ลุมพินี
ช่วงเช้า |
ทานอาหารเช้าที่โรงแรมและออกเดินทางสู่ด่านชายแดนอินเดีย เนปาล เสาโนรี ก่อนจะข้ามด่านแวะพักทานโรตีและเข้าห้องน้ำก่อนข้ามด่านที่วัดไทยนวราชย์รัตนาราม 960 ผ่านกระบวนการตรวจคนออกเมืองกันก่อนแล้วเดินทางไปสู่จุดหมายของเรา
|
ช่วงเย็น | ทานอาหารเย็น พักผ่อนที่โรงแรม Pawan Palace |
ข้อมูลน่ารู้ตามเส้นทางสังเวชนียสถาน
ลุมพินี ปัจจุบันอยู่ในเขตแดนของประเทศเนปาลแต่สมัยเดิมลุมพินีตั้งอยู่ในเขตแดนของอินเดียตั้งแต่สมัยอินเดียยังเป็นมหาชนบท (มหาชนบทแปลว่าเมืองเจริญ) ลุมพินีดั้งเดิมคือสถานที่บริเวณแคว้นสักกะบ้านเกิด บ้านพ่อของเจ้าชายสิทธัตถะ ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะอยู่ในประเทศเนปาล เราก็จะมากราบกันค่ะ ราคาทัวร์รวมวีซ่าเนปาลแล้วค่ะ ลุมพินีไม่ใช่เมืองแต่เป็นสวนพักระหว่างเมือง ที่เจ้าชายสิทธัตถะมาประสูติที่ลุมพินีเพราะในสมัยพุทธกาลเป็นธรรมเนียมของหญิงที่จะเดินทางไปคลอดที่บ้านแม่ แต่พระนางสิริมหามายาไปไม่ทัน จึงทรงมีประสูติกาลที่สวนลุมพินี
วัดไทย 960 แวะพักผ่อนก่อนข้ามด่าน เนปาล ในทัวร์สังเวชนียสถาน 9-18พย.2565 | พระพุทธเจ้าน้อยที่คนไทยคุ้นเคย มุมนี้ได้ถ่ายเดี่ยวทุกคนแน่นอนค่ะ | วิหารมายาเทวี สร้างครอบสถานที่ประสูติ |
วันที่ 3 : 19 ตุลาคม 2566 : ลุมพินี - สาวัตถี
ช่วงเช้า |
ทานอาหารเช้าและออกเดินทางไปกลับอินเดีย ผ่านกระบวนการเข้าเมืองของอินเดียและแวะพักทานโรตีและเข้าห้องน้ำก่อนข้ามด่านที่วัดไทยนวราชย์รัตนาราม 960 กันอีกสักครั้ง เมื่อวานท่านใดยังไม่หนำใจกับ โรตีอารีดอย วันนี้มาแก้มือกันได้ค่ะ หลังจากนั้นเดินทางต่อสู่สาวัตถี มหานครคนดี สาวัตถีเป็นเมืองหลวงของแคว้นโกศล สมัยพุทธกาลสาวัตถีจึงเป็นเมืองใหญ่มีคนมาศัยอยู่มากมาย เจ้าครองแคว้นคือพระเจ้าปเสนทิโกศลผู้ซึ่งรักและศรัทธาในตัวพระพุทธเจ้ามาก จนอยากดองด้วยถึงขั้นส่งคนไปเจ้าหญิงจากแคว้นสักกะมาแต่งงาน จนสุดท้ายกลายเป็นโศกอนาฏกรรมล้างวงศ์วานของพระพุทธเจ้า (หากอยากฟังต่อ จองทัวร์เลยค่ะ)ที่นี่เป็นที่ที่พระพุทธเจ้าประทับนานที่สุดถึง 25 พรรษา จึงตรัสสอนพระสูตรมากมายที่นี่ เราจะไปกราบสักการะสถานที่สำคัญเหล่านี้
|
ช่วงเย็น | ทานอาหารเย็นและพักผ่อน ณ วัดไทยสาวัตถีวิปัสสนา |
ข้อมูลน่ารู้ตามเส้นทางสังเวชนียสถาน
สาวัตถี เป็นอีกเมืองที่ไม่ได้เป็นที่ตั้งของสังเวชนียสถาน แต่เป็นอีกเมืองสำคัญของประวัติศาสตร์พุทธศาสนา สาวัตถีอย่างที่กล่าวไปว่าเป็นเมืองหลวงของแค้นโกศล ในสมัยพุทธกาลโกศลเป็นแคว้นใหญ่พอๆกับมคธและมีความเกี่ยวข้อง เกี่ยวดองกับพระพุทธเจ้า ด้วยความที่ทรงประทับที่นี่นานถึง 5 พรรษา จึงเกิดเหตุการณ์ เกิดพระสูตรมากมายที่นี่ ดังนั้นสาวัตถีจึงเป็นเมืองที่พลาดไม่ได้ รวมถึงวัดเชตวันที่เราจะพาไปกราบสักการะ เป็นอีกวัดใหญ่ วัดดังเดิมในพุทธศาสนา การได้ไปกราบสักการะสักครั้งจึงเป็นโอกาสสำคัญของเรามากค่ะ
กุฏิพระพุทธเจ้า ณ วัดเชตวันมหาวิหาร | ต้นอานันทโพธิ์ ปลูกจากหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นแรก |
วันที่ 4 : 20 ตุลาคม 2566 : สาวัตถี - พาราณสี
ช่วงเช้า |
ทานอาหารเช้าและออกเดินทางสู่เมืองพาราณสี แห่งแคว้นกาสีในสมัยพุทธกาล พาราณสีเป็นเมืองใหญ่ เมืองสำคัญที่ปัจจุบันก็ยังสำคัญอยู่ หลังจากตรัสรู้ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์แล้ว ทรงพิจารณาถึงคนที่จะสอนได้ และเล็งเห็นว่าเหล่าปัญจวัคคีย์นี้ล่ะที่มีธุลีในตาน้อยพอจะเข้าใจธรรมที่ทรงค้นพบจึงเดินจากพุทธคยามาพาราณสี พบปัญจวัคคีย์และเทศน์สอนธรรมบทแรก ธัมจักรกัปปวัตรสูตร (เราจะสวดมนต์บทนี้กันที่สถานที่จริง หัดสวดไปได้เลยนะคะ)
หลังจากนั้นพาท่านไปชมวิถีชีวิตชาวอินเดีย ที่ใช้ชีวิตแบบนี้มากว่า 4,000 ปี ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคา
|
ช่วงเย็น | ทานอาหารเย็นและพักผ่อนที่โรงแรม Pinnacle |
ข้อมูลน่ารู้ตามเส้นทางสังเวชนียสถาน
พาราณสี เป็นเมืองสำคัญของโลกในแง่สังคม วัฒนธรรม อารยธรรม ที่นี่ถูกกครองสลับกันไปมาระหว่างเจ้านครฮินดูและอิสลามจนถึงช่วงอังกฤษ แม่น้ำคงคาเป็นไฮไลท์ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่ถึงแม้จะเป็น Top Destination ขาดนี้ พระพุทธเจ้าเสด็จมาที่นี่แค่ครั้งเดียว อยู่จำพรรษาเดียวคือช่วงเวลาหลังจากตรัสรู้และมาโปรดปัญจวัคคีย์ หลังจากนั้นไม่เสด็จมาที่นี่อีกเลยค่ะ
วันที่ 5 : 21 ตุลาคม 2566 : พาราณสี - พุทธคยา
ช่วงเช้า-บ่าย |
ทานอาหารเช้าและออกเดินทางสู่พุทธคยา สถานที่สำคัญของเราย้อนเส้นทางการเดินทางของพระพุทธเจ้า ท่านเดินเท้าจากพุทธคยาไปพาราณสีแต่เรานั่งรถจากพาราณสีไปพุทธคยาระหว่างจะผ่านบริเวณป่าฝ้าย สถานที่พบภัทวัคคีย์ที่มาฮันนีมูนกับภรรยา แต่มีท่านหนึ่งยังไม่แต่งงานจึงจ้างนางโสเภณีมาเอนเตอร์เทน จนเกิดเรื่องราววุ่นวาย แต่สุดท้ายบรรลุธรรมกันหมด เมื่อถึงพุทธคยาเราจะไปชมสถานที่สำคัญดังนี้ (สลับได้ตามเวลาและสถานการณ์หน้างาน)
|
ช่วงเย็น | ทานอาหารเย็น พักผ่อนที่วัดเนรัญชราวาส |
แห่ผ้าห่มถวายพระพุทธเมตตา | มีเวลาปฏิบัติใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ | ไปชมวัดนานาชาติบริเวณโดยรอบ |
มุมปฏิบัติอิสระ ณ เจดีย์พุทธคยาสถานที่ตรัสรู้ | สถูปบ้านนางสุชาดาผู้ถวายข้าวมธุปายาส | ถวายผ้าป่าบำรุงวัดเนรัญชราวาส |
วันที่ 6 : 22 ตุลาคม 2566 : พุทธคยา
ช่วงเช้า |
ทานอาหารเช้าที่วัดออกมาเยี่ยมชมสถานที่ดังนี้
กลางวันกลับไปทานอาหารที่วัดเนรัญและทอดผ้าป่าบำรุงวัดและช่วงบ่าย ให้เวลาอิสระ ตารางสบายๆค่ะ
|
ช่วงเย็น | ทานอาหารเย็น และพักผ่อน ณ วัดเนรัญชราวาส |
วันที่ 7 : 23 ตุลาคม 2566 : พุทธคยา - ราชคฤห์ - นาลันทา - ปัตนะ
ช่วงเช้า |
ทานอาหารเช้าที่วัดเนรัญชราวาสและออกเดินทางไปยังเมืองราชคฤห์ซึ่งเป็นเมืองสำคัญมากในชีวิตของพระพุทธเจ้า ราชคฤห์แห่งนี้เป็นเมืองแรกในแดนพุทธภูมิที่พุทธศาสนาตั้งมั่นโดยมีพุทธสาวกคนสำคัญคือพระเจ้าพิมพิสาร ปาวารณาตัวเป็นพุทธศาสนิกชน ในราชคฤห์จึงมีสถานที่มากมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของพระพุทธเจ้าให้เราได้ศึกษาและกราบสักการะเช่น
ทานกลางวันกันที่วัดไทยสิริราชคฤห์และเดินทางต่อไปที่นาลันทา เมืองใกล้ๆเพื่อไปกราบสักการะ
เรื่องราวเหล่านี้แค่เกริ่นๆค่ะ พอไปถึงสถานที่จริงๆได้ฟังวิทยากรกันเพลินหู ดูข้างทางกันเพลินตาแน่นอนค่ะ |
ช่วงเย็น | ทานอาหารเย็น พักผ่อนที่โรงแรม Patliputra Continental |
ข้อมูลน่ารู้ตามเส้นทางสังเวชนียสถาน
ราชคฤห์ไม่ได้เป็นที่ตั้งของสังเวชนียสถาน 4 ตำบลแห่งใดเลย แต่เป็นเมืองสำคัญมากในยุคพุทธกาลเพราะเป็นเมืองหลวงแห่งแคว้นมคธ 1 ในแคว้นมหาอำนาจในยุคนั้น ปกครองโดยพระเจ้าพิมพิสารพระเจ้าพิมพิสารเคยเจอเจ้าชายสิทธัตถะแล้วก่อนแล้วเมื่อครั้งทรงออกบวชและเดินมาจากกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ด้วยวรรณะ ผิวพรรณ หน้าตา เมื่อมาถึงราชคฤห์ชาวบ้านก็อื้ออึงกันถึงความงามจนพระเจ้าพิมพิสารเสด็จไปพบพร้อมเสนอให้ออกจากเพศนักบวชแล้วมาช่วยกันปกครองแคว้นมคธ เจ้าชายสิทธัตถะทรงปฏิเสธไป พระเจ้าพิมพิสารจึทูลขอว่าหากทรงตรัสรู้ธรรมเมื่อใดให้มาโปรดท่านด้วย เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้อนุตตระสัมมาสัมโพธิญาณใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์แล้ว ก็ทำตามคำมั่นที่ให้ไว้ทรงเสด็จกลับไปโปรดพระเจ้าพิมพิสาร และพุทธศาสนาก็ตั้งมั่นที่ราชคฤห์เป็นแห่งแรกในโลก นับจากนั้นเป็นต้นมา
วัดเวฬุวันมหาวิหาร วัดแห่งแรกในพุทธศาสนา | กุฏิพระพุทธเจ้าบนยอดเขาคิชกูช ราชคฤห์ | หลวงพ่อองค์ดำ นาลันทา เตรียมน้ำมันมะพร้าวไปทาขอพรเรื่องสุขภาพค่ะ |
วันที่ 8 : 24 ตุลาคม 2566 : ปัตนะ - สักการะพระบรมสารีริกธาตุ - มุมไบ
ช่วงเช้า |
ทานอาหารเช้าที่โรงแรมและออกเดินทางเพื่อไปกราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ณ ปัตนะ หลังจากนั้นเดินทางไปสนามบินเพื่อเดินทางไปมุมไบด้วยสายการบินIndigo ไฟลท์ 6e2167 |
18.00 น. |
เดินทางถึงมุมไบ ทานอาหารเย็นที่โรงแรม Suba Palace โรงแรมอยู่ใจกลางย่าน Colaba Causeway สามารถออกมาเดินเล่น ช้อปปิ้งได้ตามสะดวกค่ะ |
วันที่ 9 : 25 ตุลาคม 2566 : มุมไบเต็มวัน
ช่วงเช้า |
ทานอาหารเช้าที่โรงแรมและเดินทางชมเมืองมุมไบ
ทานอาหารกลางวัน ณ ร้านอาหาร บ่าย เที่ยวชมย่านColaba Causeway ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวใจกลางเมืองมุมไบ ท่ามกลางตึกไสตล์อังกฤษที่เจ้าอาณานิคมมาสร้างไว้ต้อนรับข้าหลวงที่เดินทางมาจากเกาะอังกฤษ ย่านนี้จึงผสานกลิ่นอายของยุโรปและอินเดียเอาไว้ |
เย็น | ทานอาหารที่ร้านอาหารที่จองไว้ และเดินเล่นต่อตามสะดวกค่ะ |
วันที่ 10 : 26 ตุลาคม 2566 : มุมไบ - ออรังกบาด
ช่วงเช้า |
ทานอาหารเช้าและออกเดินทางสู่เมืองออรังกบาด วันนี้เดินทางทั้งวันค่ะ จะถึงออรังกบาดประมาณบ่าย-เย็น ทานอาหารกลางวันระหว่างทาง (แพ็คข้าวกล่องหรือแซนด์วิช Starbuck ค่ะ) |
ช่วงเย็น | ทานอาหารเย็นและพักผ่อน ณ โรงแรม 7 apples |
วันที่ 11 : 27 ตุลาคม 2566 : ถ้ำอชันต้า เต็มวัน
ช่วงเช้า |
วันนี้อุทิศให้ถ้ำอชันต้าค่ะ ทานอาหารเช้าและออกเดินทางกัน เตรียมหมวด ร่ม กระบอกน้ำให้พร้อม ถ้ำอชันต้าห่างจากเมืองออรังกบาดไปประมาณ 3 ชม. กลุ่มวัดถ้ำอชันต้าเป็นวัดถ้ำเก่าแก่ที่สวยงามที่สุดในแถบอินเดีย ถูกสร้างขึ้นโดยการขุดเจาะภูเขาลงไปเป็นวัด สถานที่สวดมนต์ ประกอบพิธีสงฆ์ และวิหารสถานที่จำวัดของพระสงฆ์ในสมัยนั้น ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปีค.ศ.1983 ประกอบไปด้วยถ้ำ 28 ถ้ำ มีอายุกว่า 2,000 ปีสร้างขึ้นโดยประมาณ พ.ศ.700-1300 ก่อนถูกทิ้งร้าง และถูกค้นพบโดยบังเอิญโดยคณะล่าสัตว์ชาวอังกฤษ ถ้ำอชันต้า เป็นต้นแบบการขุดเจาะภูเขาเป็นศาสนสถาน โดยมีความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมและภาพเขียนสีผนังสมัยโบราณ ซึ่งภาพวาดเหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องราวเกี่ยวพุทธประวัติและพระโพธิ์สัตว์ของมหายาน เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าพุทธศาสนาตั้งมั่นอยู่บริเวณแถบนี้มาก่อนเมืองออรังกาบาดจะถูกปกครองโดยศาสนาอิสลาม นำโดยราชวงศ์โมกุล เราจะใช้เวลาที่นี่เต็มที่ในการเดินชมภาพเขียนและสถาปัตยกรรมซุ้มประตูที่แกะสลักด้วยมือคนเป็นๆสวยๆกันตามสบาย ค่อยๆเดินค่ะ ไม่รีบ ช่วงเที่ยงทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร และเดินทางกลับสู่เมืองออรังกาบาด ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชม. |
ช่วงเย็น | ทานอาหารเย็นและพักผ่อน ณ โรงแรม 7 apples |
วันที่ 12 : 28 ตุลาคม 2566 : ถ้ำเอลโลร่า
ช่วงเช้า |
ทานอาหารเช้าที่วัดและออกเดินทางสู่กลุ่มวัดถ้ำเอลโลร่า กลุ่มถ้ำเอลโลร่าได้ต้นแบบมาจากกลุ่มถ้ำอชันต้า ประกอบไปด้วยถ้ำของ 3 ศาสนาคือพุทธ ฮินดูและเชนเมื่อได้ต้นแบบมาจากอชันต้า ลักษณะองค์ประกอบของถ้ำจึงเป็นส่วนของวัดและที่พักของพระสงฆ์ กลุ่มถ้ำของพุทธจะอยู่จากถ้ำหมายเลข 1-12 ส่วนถัดมาจะเป็นวัดของฮินดูซึ่งสร้างขึ้นมาภายหลัง โดยมีถ้ำที่โดดเด่นมากคือถ้ำที่ 16 เขาไกรลาส เป็นลักษณะการเจาะภูเขาหินทั้งลูกลงไปเป็นวิหารในศาสนาฮินดู เราจะใช้เวลาที่นี่สบายๆไม่เร่งรีบค่ะ ทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารที่โรงแรมไกรลาสใกล้ๆถ้ำเอลโลร่า |
ช่วงบ่าย |
พาไปชมbibi maqbara หรือ Mini Taj Mahal เป็นสถานที่ฝังพระศพของพระราชินีราบิยะ อุด-ดูราณี (Rabia ud-Durani) ในจักรพรรดิ ออรังเซป สร้างเลียนแบบทัชมาฮาลแห่งอักรา |
วันที่ 13 : 29 ตุลาคม 2566 : ออรังกบาด - กรุงเทพ
ช่วงเช้า |
ทานอาหารเช้าและออกเดินทางไปยังสนามบินออรังกบาด เช็คอินสายการบิน Air India ไฟลท์ AI 444 07.40 ถึงนิวเดลีเวลา 09.25 เราไม่ต้องไปรับและดรอปกระเป๋าใหม่ค่ะ สามารถผ่านตม.เดินตัวปลิวไปหาอะไรทานในสนามบินอินทิรา คานธีได้เลย (อาหารกลางวันอิสระในสนามบินค่ะ) |
13.45น. | ขึ้นเครื่องสายการบินเดียวกันไฟลท์ AI 332 เสริฟอาหารบนเครื่อง ถึงสนามบินสุวรรณภูมิประเทศไทยเวลา 19.20น. คิดรอว่ารอบต่อไปจะไปเมืองไหนต่อกันดี และรอดูรูปสวยๆจากกลุ่มไลน์สมาชิกค่า |